
ฟินแลนด์ VS เบลเยี่ยม
สนาม : เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดี้ยม, เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย
เวลา : 02.00 น.
ฟินแลนด์
ผลงาน 5 เกมหลังสุด
แพ้ สวิตเซอร์แลนด์ 2-3 (เยือน)
แพ้ สวีเดน 0-2 (เยือน)
แพ้ เอสโตเนีย 0-1 (เหย้า)
ชนะ เดนมาร์ก 1-0 (ยูโร 2020)
แพ้ รัสเซีย 0-1 (ยูโร 2020)
คาดว่ากุนซือ มาร์กคู คาเนอร์ว่า จะปรับทัพจากเกมนัดแรกที่แพ้ รัสเซีย 0-1 เพื่อลุ้นเก็บชัยผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มไปเลย เพราะจะเหนือกว่า เบลเยี่ยม ตามสถิติการพบกันเองที่เหนือกว่าทันที โดยตอนนี้อยู่อันดับ 3 มี 3 คะแนน แต่ถ้าลงเอยด้วยผลเสมอมีลุ้นเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม หากว่าแพ้ยังพอมีโอกาสลุ้นเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด ซึ่งจะต้องไปวัดกับทีมอันดับ 3 จากทั้ง 6 กลุ่มกันต่อไป จึงพร้อมให้พวกแข้งหลักลงสนามทั้งหมดตามแผนการเล่นแบบ 3-5-2 โดยผู้รักษาประตูจะให้ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ยืนเฝ้าเสาตั้งแต่นาทีแรก แนวรับยังคงให้ เปาลุส อรายูรี่ ยืมร่วมกับ โจน่า ตอยวิโอ และ ดาเนี่ยล โอชอห์เนสซี่ เหมือนนัดก่อน แดนกลางน่าจะให้ ทิม สปาร์ฟ กลับมาคุมเกมร่วมกับ เกล็น คามาร่า และ โรบิน ล็อด ส่วนฟูลแบ็กทั้งสองฝั่งจะใช้ ยุคก้า ไรตาล่า กับ เยเร่ อูโรเน่น แนวรุกยังคงให้ โจเอล โปห์ยานปาโล่ ยืนล่าตาข่ายคู่กับ ติมู ปุ๊กกี้ กองหน้าตัวเก่ง
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม
ผู้รักษาประตู : ลูคัส ฮราเด็คกี้
แนวรับ : เปาลุส อรายูรี่, โจน่า ตอยวิโอ, ดาเนี่ยล โอชอห์เนสซี่
แดนกลาง : ทิม สปาร์ฟ, เกล็น คามาร่า, โรบิน ล็อด, ยุคก้า ไรตาล่า, เยเร่ อูโรเน่น,
แนวรุก : โจเอล โปห์ยานปาโล่, ติมู ปุ๊กกี้
เบลเยี่ยม
ผลงาน 5 เกมหลังสุด
ชนะ เบลารุส 8-0 (เหย้า)
เสมอ กรีซ 1-1 (เหย้า)
ชนะ โครเอเชีย 1-0 (เหย้า)
ชนะ รัสเซีย 3-0 (ยูโร 2020)
ชนะ เดนมาร์ก 2-1 (ยูโร 2020)
คาดว่ากุนซือ โรแบร์โต้ จะปรับทัพจากเกมนัดก่อนที่เฉือน เดนมาร์ก 2-1 หลังผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแล้ว มี 6 คะแนนเต็มจากการคว้าชัย 2 เกมซ้อน โดยเกมนี้ขอเพียงผลเสมอเพื่อการันตีการเป็นแชมป์กลุ่มไปเลย แต่ถ้าแพ้จะเป็นเข้าป้ายรองแชมป์ และอาจจะโรเตชั่นผู้เล่นในบางตำแหน่ง เพื่่อให้พวกแข้งดังที่ถูกจับนั่งเป็นตัวสำรองในเกมที่แล้วได้ลงสนามตามแผนการเล่นแบบ 3-4-3 ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูยังคงให้ ติโบต์ กูร์ตัวส์ ยืนเฝ้าเสาเหมือนเดิม แนวรับน่าจะดร็อป เจสัน เดนาแยร์ เพื่อให้ เดดริก โบยาต้า และ โธมัส แฟร์มาเลน ลงไปยืนร่วมกับ แยน แฟร์ทองเก้น แดนกลางน่าจะพัก ยูริ ติเลอมองส์ เพื่อให้ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพตัวเก่งที่หายเจ็บแล้วฟิตพร้อมกลับมาคุมเกมคู่กับ อักเซล วิตเซล ส่วนฟูลแบ็กฝั่งซ้ายอาจขยับ ยานนิค คาร์ราสโก้ ลงไปยืนคนละฝั่งกับ โธมัส มูนิเยร์ แนวรุกน่าจะให้ โรเมลู ลูกากู ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า และอาจให้ เอเดน อาซาร์ ลงไปเป็นตัวริมเส้นคนละด้านกับ ดรีส เมอร์เท่นส์
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม
ผู้รักษาประตู : ติโบต์ กูร์ตัวส์
แนวรับ : เดดริก โบยาต้า, โธมัส แฟร์มาเลน, แยน แฟร์ทองเก้น
แดนกลาง : เควิน เดอ บรอยน์, อักเซล วิตเซล, ยานนิค คาร์ราสโก้, โธมัส มูนิเยร์
แนวรุก : โรเมลู ลูกากู, เอเดน อาซาร์, ดรีส เมอร์เท่นส์
วิเคราะห์ฟันธง

คู่นี้เคยพบกันในทุกรายการมาแล้วทั้งหมด 10 นัด ปรากฎว่า เบลเยี่ยม เป็นสถิติเป็นรองแบบผิดคาด เพราะเป็นฝ่ายชนะ 3 เกม เสมอ 4 เกม และแพ้ 4 เกม ส่วนนัดล่าสุดเจอกันในเกมกระชับมิตร เมื่อปี 2016 ปรากฎว่า เสมอกันในบ้านของ เบลเยี่ยม 1-1 ถ้าดูจากสถิติจะเป็นฝ่าย ฟินแลนด์ ที่ข่มเอาไว้นิดหน่อย แต่ถ้าดูจากสภาพทีมในปัจจุบันจะพบกับ เบลเยี่ยม ยังคงรั้งตำแหน่ง “เบอร์หนึ่ง” ในฐานะทีมฟุตบอลชายระดับชาติที่ดีที่สุดจากการจัดอันดับของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า นั่นเอง ส่วน ฟินแลนด์ เพิ่งได้ผ่านเข้ามาเล่นในทัวร์นาเมนต์ใหญ่เป็นครั้งแรก และทำผลงานได้ดีเกินคาดเลยด้วย เพราะนักเตะทุกคนพร้อมเล่นด้วยความมุ่งมั่นนั่นเอง แต่ต้องยอมรับว่า เบลเยี่ยม มีศักยภาพในเรื่องนักเตะที่เหนือกว่าเยอะมาก และได้ 2 ดาวดังอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ กับ เอเดน อาซาร์ ฟิตกลับมาช่วยทีมแล้วด้วย หลังหายจากอาการบาดเจ็บที่ทำให้ชวดออกสตาร์ทเป็นตัวจริงใน 2 เกมแรก นอกจากนี้ยังมีพวกนักเตะตัวสำรองฝีเท้าดีให้เลือกใช้งานได้อีกหลายคนเลยด้วย แม้ว่า ฟินแลนด์ จะพร้อมใช้ใจเข้าสู้แน่ๆ แต่สุดท้าย เบลเยี่ยม จะเป็นฝ่ายชนะตามหน้าไพ่ที่เหนือกว่า
ผลที่คาด – ฟินแลนด์ แพ้ เบลเยี่ยม 0-2

รัสเซีย VS เดนมาร์ก
สนาม : ปาร์เค่น สเตเดี้ยม, กรุงโคเปนฮาเกน ประเทศเดนมาร์ก
เวลา : 02.00 น.
รัสเซีย
ผลงาน 5 เกมหลังสุด
แพ้ สโลวะเกีย 1-2 (เยือน)
เสมอ โปแลนด์ 1-1 (เยือน)
ชนะ บัลแกเรีย 1-0 (เหย้า)
แพ้ เบลเยี่ยม 0-3 (ยูโร 2020)
ชนะ ฟินแลนด์ 1-0 (ยูโร 2020)
คาดว่ากุนซือ สตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ จะปรับทัพจากเกมนัดก่อนที่ชนะ ฟินแลนด์ 1-0 เพื่อลุ้นคว้าชัยเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่มไปเลย หากลงเอยด้วยผลเสมอหรือแพ้ยังมีโอกาสลุ้นเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 3 ที่มีผลงานดีที่สุด ซึ่งจะต้องไปวัดกับทีมอันดับ 3 จากทั้ง 6 กลุ่มกันต่อไป แต่จะต้องรอดูผลของคู่ระหว่าง ฟินแลนด์ กับ เบลเยี่ยม ด้วย จึงพร้อมจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามตามแผนการเล่นแบบ 3-4-2-1 เพราะใช้งานพวกแข้งหลักได้ทั้งหมดเลย ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูจะให้ มัตเวย์ ซาฟานอฟ ยืนเฝ้าเสาเป็นตัวจริง แนวรับยังคงใช้ จอร์จี้ ดิคิย่า ยืนร่วมกับ อังเดร เชเมนอฟ และ อิกอร์ ไดวิเยฟ แดนกลางวาง มาโดเม็ด อ็อซโดเยฟ คุมเกมคู่กับ โรมัน ซ็อบนิน ส่วนฟูลแบ็กทั้งสองข้างน่าจะใช้ ดาเลอร์ คุซยาเยฟ กับ มาริโอ แฟร์นันเดส แนวรุกน่าจะวาง อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน ยืนเป็นตัวปั้นเกมร่วมกับ อเล็กไซ มิรานชุค โดยทั้งคู่จะอยู่ด้านหลัง อาร์เต็ม ซูบ้า กองหน้าเป้าเพียงคนเดียว
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม
ผู้รักษาประตู : มัตเวย์ ซาฟานอฟ
แนวรับ : , จอร์จี้ ดิคิย่า, แอนตัน ชูนิน, อังเดร เชเมนอฟ
แดนกลาง : มาโดเม็ด อ็อซโดเยฟ, โรมัน ซ็อบนิน, มาริโอ แฟร์นันเดส, ดาเลอร์ คุซยาเยฟ
แนวรุก : อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน, อเล็กไซ มิรานชุค, อาร์เต็ม ซูบ้า
เดนมาร์ก
ผลงาน 5 เกมหลังสุด
ชนะ ออสเตรีย 4-0 (เยือน)
เสมอ เยอรมนี 1-1 (สนามเป็นกลาง)
ชนะ บอสเนีย 2-0 (เหย้า)
แพ้ ฟินแลนด์ 0-1 (ยูโร 2020)
แพ้ เดนมาร์ก 1-2 (ยูโร 2020)
คาดว่ากุนซือ แคสเปอร์ ฮูลมานด์ จะปรับทัพจากเกมนัดก่อนที่แพ้ เบลเยี่ยม 1-2 และจะต้องเก็บชัยให้ได้สถานเดียว เพื่อต่อลมหายใจในการผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งต้องรอดูผลของคู่ระหว่าง ฟินแลนด์ กับ เบลเยี่ยม ด้วยเช่นกันว่าจะมีลุ้นเข้าป้ายรองแชมป์ หรือไปลุ้นเป็นทีมอันดับ 3 ที่มีผลงานดีที่สุด โดยตอนนี้ยังไม่มีคะแนนจากการแพ้ 2 เกมรวด จึงพร้อมจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามตามแผนการเล่นแบบ 3-4-3 เหมือนเดิม เริ่มจากผู้รักษาประตูเป็นหน้าที่ของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ลงไปยืนเฝ้าเสาต่อไป แนวรับยังคงใช้ ซิมง เคียร์ ยืนคู่กับ ยานนิค เวสเตอร์การ์ด และ อันเดรียส คริสเตียนเซ่น แดนกลางยังคงไม่มี คริสเตียน อีริคเซ่น มีปัญหาเรื่องหัวใจจากเหตุการณ์วูบหมดสติในนัดประเดิมสนาม จึงน่าจะวาง โธมัส เดลานีย์ เป็นตัวคุมเกมคู่กับ ปิแอร์ ฮอยเบิร์ก ส่วนฟูลแบ็กทั้งสองฝั่งจะใช้ ดาเนี่ยล วาสส์ กับ โจอาคิม มาห์เล่ แนวรุกน่าจะใช้ 3 ประสาน มิคเคล ดัมสการ์ด, มาร์ติน เบรธเวท และ ยุสเซฟ โพลเซ่น
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม
ผู้รักษาประตู : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล
แนวรับ : ซิมง เคียร์, อันเดรียส คริสเตียนเซ่น, ยานนิค เวสเตอร์การ์ด
แดนกลาง : โธมัส เดลานีย์, ปิแอร์ ฮอยเบิร์ก, โจอาคิม มาเอห์เล่, ดาเนี่ยล วาสส์
แนวรุก : มิคเคล ดัมสการ์ด, มาร์ติน เบรธเวท, ยุสเซฟ โพลเซ่น
วิเคราะห์ฟันธง

คู่นี้เคยพบกันในทุกรายการมาแล้วเพียงแค่ 1 นัดเท่านั้น ปรากฎว่า เดนมาร์ก เป็นฝ่ายแพ้จากการพบกันนัดล่าสุดในเกมกระชับมิตร เมื่อปี 2012 ปรากฎว่า รัสเซีย เป็นฝ่ายบุกไปชนะ 2-0 แม้จะพลาดท่าแพ้จากนัดก่อน และไม่มีตัววางบอลแม่นๆอย่าง คริสเตียน อีริคเซ่น แต่ถ้าดูจากรูปเกมโดยรวมแล้วจะเห็นว่า เดนมาร์ก เล่นกันได้ดีมากๆ เพราะมีโอกาสลุ้นยิงประตูหลายครั้งเลย แค่ขาดความเฉียบคมในจังหวะจบสกอร์เท่านั้น ส่วน รัสเซีย ยังคงมีสไตล์การเล่นแบบดั้งเดิมคือเน้นบอลโยนยาวเป็นหลัก เพื่อให้ อาร์เต็ม ซูบ้า กองหน้าตัวเก่งได้พักบอลในแดนหน้า เพื่อเปิดทางให้เพื่อนร่วมทีมได้เติมเกมขึ้นมาช่วยสอยตาข่ายด้วย เพราะไม่มีพวกปีกจอมเลื้อยที่มีฝีเท้าจัดจ้านให้เลือกใช้งานนั่นเอง ดังนั้น เดนมาร์ก จึงมีรูปแบบการเล่นเกมรุกที่หลากหลายมากกว่า และพวกกองหน้าตัวจื๊ดที่พร้อมทะลุทะลวงแนวรับของฝั่งตรงข้ามเพื่อเบียดเอาชนะไปได้ในท้ายที่สุด
ผลที่คาด – รัสเซีย แพ้ เดนมาร์ก 1-2